EP.2 ยืดอายุรถยก - จะยืดอายุแบตเตอรี่รถฟอร์คลิฟท์ให้ใช้งานได้นานคุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร? : เจนบรรเจิด (Jenbunjerd) ผู้นำด้านการผลิต จัดจำหน่าย และส่งออกอุปกรณ์จัดเก็บยกย้ายที่มีความหลากหลาย

Contact Info

  • 359 Bondstreet Rd.(Chaengwattana 33), Bangpood, Pakkred, Nonthaburi 11120 Thailand
  • info@jenbunjerd.com
  • 02-096-9898 (200 คู่สาย)
EP.2 ยืดอายุรถยก - จะยืดอายุแบตเตอรี่รถฟอร์คลิฟท์ให้ใช้งานได้นานคุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร?

EP.2 ยืดอายุรถยก - จะยืดอายุแบตเตอรี่รถฟอร์คลิฟท์ให้ใช้งานได้นานคุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร?

รถฟอร์คลิฟท์หรือรถแฮนด์ลิฟท์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเริ่มมีความนิยมมากขึ้นมาก เพราะอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ มีอะไหล่สิ้นเปลืองที่น้อยกว่า ดูแลรักษาง่ายและมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่ารถเครื่องยนต์ แบตเตอรี่ของรถฟอร์คลิฟท์เป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ที่ต้องใช้รถฟอร์คลิฟท์จำนวนมาก 

แหล่งของรถฟอร์คลิฟท์ไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ภายในตัวรถ เป็นพลังงานหลักในการทำงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้าย จัดเก็บหรือเบิกจ่ายสินค้าจากชั้นวาง แบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพอาจไม่สามารถตอบโจทย์การทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และกระแสไฟที่ไม่เสถียรจากแบตเตอรี่เสื่อมอาจสร้างความเสียหายให้กับรถฟอร์คลิฟท์ได้ เป็นความเสี่ยงต่อการทำงานภายในคลังสินค้า ทั้งด้านความปลอดภัย ผลิตภาพ และค่าใช้จ่ายในระยะยาว

จะรักษาแบตเตอรี่ให้ใช้งานในระยะยาวได้อย่างไร? ควรศึกษาการใช้งาน การดูแลรักษาและข้อจำกัดต่างๆของแบตเตอรี่ให้ถี่ถ้วน การชาร์จไฟและดูแลรักษาอย่างถูกต้องจะช่วยยืดอายุของแบตเตอรี่ได้ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและรักษารถให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นี่คือ 7 ข้อ ในการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถฟอร์คลิฟท์ของคุณ

 

 

 


 

  1. เลือกใช้ตู้ชาร์จให้เหมาะสมกับรถที่ใช้งาน

    ในท้องตลาดมีตู้ชาร์จให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละประเภทออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์หรือรถที่แตกต่างกันไป โดยปกติแล้วผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายจะแนะนำตู้ชาร์จที่เหมาะสมกับรถให้ 

     
    Tips เลือกใช้ตู้ชาร์จให้เหมาะสมกับรถ 
    กรณีที่ต้องการซื้อทดแทนด้วยตัวเอง ควรพิจารณา 3 ข้อหลักดังนี้
    •    เลือกตู้ชาร์จที่จ่ายไฟ (แรงดัน V และขนาด Ah) ให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่ที่ใช้งาน การใช้ตู้ชาร์จที่แรงดันไม่ตรงกับแบตเตอรี่ที่ใช้งาน จะทำให้ตู้ชาร์จและแบตเตอรี่เสียหาย การใช้ตู้ชาร์จที่มีขนาดแอมป์-ชั่วโมงน้อยเกินไปจะใช้เวลาในการชาร์จนานเกินความจำเป็น และขนาดที่มากเกินไปจะทำให้แบตเตอรี่มีความร้อนสูงและเสื่อมสภาพเร็ว โดยปกติแล้วควรเลือกขนาด Ah ที่หารด้วย 6 จากขนาดของแบตเตอรี่ (เช่น แบตเตอรี่ 48V 600Ah ควรเลือกตู้ชาร์จ 48V 100Ah)
    •    พิจารณาขนาดของตู้ชาร์จ คลังสินค้าบางแห่งอาจมีข้อจำกัดด้านพื้นที่การชาร์จ ควรวัดขนาดพื้นที่ที่จะติดตั้งตู้ชาร์จเพื่อให้สามารถติดตั้งได้โดยไม่แออัดหรือสิ้นเปลืองพื้นที่
    •    จัดสรรเวลาการชาร์จแบตเตอรี่ให้เหมาะสม ตู้ชาร์จที่ต้องใช้งานร่วมกับรถฟอร์คลิฟท์หลายๆคันอาจมีประเด็นเรื่องของเวลาในการชาร์จ ผู้จัดการคลังควรกำหนดเวลาชาร์จของรถฟอร์คลิฟท์แต่ละคันไม่ให้ทับซ้อนในเวลาเดียวกัน หรือหากจำเป็นต้องใช้งานพร้อมๆกัน ควรพิจารณาตู้ชาร์จหนึ่งตู้ต่อรถหนึ่งคัน (ในกรณีนี้ควรเช็คระบบไฟของคลังสินค้าด้วยว่าสามารถจ่ายไฟให้กับตู้ชาร์จทุกตู้พร้อมกันได้หรือไม่)

     
  2. ชาร์จแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี

    การชาร์จแบตเตอรี่ของรถฟอร์คลิฟท์ไฟฟ้านั้น แตกต่างจากการชาร์จแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ทั่วๆไปอย่างเช่นสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์พกพา ดังนั้นควรศึกษาการชาร์จไฟให้ถูกต้อง

     

    Tips ชาร์จแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี 
    •    มั่นใจว่าดับรถและปิดไฟของตู้ชาร์จก่อนถอดหรือเสียบสายชาร์จ
    •    ตรวจเช็คว่าแบตเตอรี่และตู้ชาร์จสามารถใช้งานร่วมกันได้ หรือตามที่ผู้ผลิตแนะนำ
    •    ชาร์จแบตเตอรี่เมื่อระดับไฟลดลงเหลือประมาณ 20-30% หากระดับไฟเหลือต่ำเกินไปอาจทำให้เซลล์แบตเตอรี่หมดไฟและต้องกระตุ้นก่อนชาร์จ แต่หากยังมีไฟในแบตเตอรี่เหลือเยอะ การชาร์จอาจก่อให้เกิด Memory Effect ทำให้ความจุของแบตเตอรี่ลดลงในระยะยาว
    •    ในการชาร์จแบตเตอรี่ควรชาร์จให้เต็ม 100% ทุกครั้งก่อนนำแบตเตอรี่ไปใช้งาน หากถอดสายและนำไปใช้ขณะที่ไฟยังไม่เต็มจะทำให้เซลล์แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
    •    อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดไฟนาน ควรนำไปชาร์จทันทีเพื่อลดโอกาสการเกิดขี้เกลือจากการทำปฏิกิริยาของเซลล์แบตเตอรี่และทำให้อายุการใช้งานลดลง
    •    ระวังอย่าให้แบตเตอรี่ร้อนเกินไป โดยการชาร์จควรใช้ขนาดตู้ชาร์จที่เหมาะสมและมีอากาศถ่ายเทสะดวกเพื่อลดความร้อน เซลล์แบตเตอรี่ที่ร้อนจัดจะเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว
    •    หลังการชาร์จทุกครั้งควรเช็คระดับน้ำกลั่น เปิดเฉพาะช่องที่ต้องการเติมและปิดทันทีก่อนเปิดช่องต่อไป

     
  3. รักษาระดับน้ำกลั่นให้เหมาะสมอยู่เสมอ

    แบตเตอรี่ของรถฟอร์คลิฟท์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่นเพื่อให้การทำปฏิกิริยาของแผ่นธาตุเสถียรอยู่ตลอดเวลา รวมถึงช่วยรักษาอุณหภูมิในการทำงานให้เหมาะสมด้วย การตรวจเช็คและเติมน้ำกลั่นควรทำเป็นกิจวัตร และลงบันทึกให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันปัญหาน้ำกลั่นพร่องหรือขาด ระมัดระวังในการเติมน้ำกลั่นไม่ให้เยอะจนเกินไปหรือจนล้นออกมา เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือน้ำกรดในแบตเตอรี่ปะทุออกมาได้


     

  4. ทำการชาร์จกระตุ้น (Battery Equalizing) เป็นระยะๆ

    การชาร์จกระตุ้นแบตเตอรี่ควรทำเป็นประจำ ซึ่งการชาร์จกระตุ้นจะช่วยปรับสภาพความเป็นกรดภายในแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมทุกๆเซลล์ การชาร์จปกติโดยไม่ได้ชาร์จกระตุ้นเลยจะทำให้ความเป็นกรดไม่เสมอกันตลอดทั้งเซลล์ ซึ่งจะทำให้เซลล์เสื่อมก่อนอายุ ทั้งนี้ สำหรับความถี่ในการชาร์จกระตุ้น ควรปรึกษาผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่าย เนื่องจากแบตเตอรี่ของรถฟอร์คลิฟท์บางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องมีการชาร์จกระตุ้นเลย


     

  5. ทดสอบแบตเตอรี่โดยผู้เชี่ยวชาญ / หาตัวช่วยในการติดตามสภาพ

    หากมีการใช้งานรถฟอร์คลิฟท์ไฟฟ้าจำนวนมากๆ ซึ่งมีแบตเตอรี่ที่ต้องคอยดูแลมหาศาล อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาทดสอบแบตเตอรี่ของรถแต่ละคันให้แทน ซึ่งจะช่วยให้รู้ถึงสภาพของแบตเตอรี่แต่ละก้อน และสามารถซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนก้อนที่มีปัญหาได้ก่อนเกิดความเสียหายกับตัวรถ ในกรณีที่สามารถลงทุนเพิ่มเติมได้ อาจนำระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management / Status System) เข้ามาใช้งาน ซึ่งจะช่วยบันทึกทุกกิจกรรมในการใช้หรือชาร์จแบตเตอรี่ พร้อมแจ้งเตือนทันทีที่แบตเตอรี่มีปัญหา ช่วยให้สามารถวางแผนการใช้งานและชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างเหมาะสมและเต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ


     

  6. คอยทำความสะอาดแบตเตอรี่เป็นประจำ

    เมื่อใช้งานแบตเตอรี่ไปนานๆ อาจเกิดฝุ่น คราบขี้เกลือ หรือคราบน้ำกลั่นบนตัวแบตเตอรี่ ดังนั้นควรทำความสะอาดแบตเตอรี่เป็นประจำเพื่อป้องกันปัญหาการกัดกร่อน โดยปกติแล้วสามารถใช้ผ้าหรือน้ำยาล้างแบตเตอรี่ได้ แต่หากไม่มั่นใจควรปรึกษาผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่าย


     

  7. อย่าใช้แบตเตอรี่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง

    แบตเตอรี่กับความร้อนนั้นไม่ถูกกัน ซึ่งการใช้งานหรือชาร์จในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 35 องศาเซลเซียสนั้นมีโอกาสที่จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพมากขึ้นถึง 50% ดังนั้นควรใช้พัดลมหรือระบบถ่ายเทอากาศ เพื่อลดอุณหภูมิของคลังสินค้า นอกจากจะช่วยให้แบตเตอรี่เย็นลงแล้ว ยังเป็นการยกระดับคุณภาพในการทำงานภายในคลังสินค้าอีกด้วย หากจำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ในพื้นที่ร้อนจัดจริงๆ ควรพิจารณาเลือกใช้แบตเตอรี่ที่ออกแบบเพื่องานอุณหภูมิสูงโดยเฉพาะ หรือควรมีการติดตั้งระบบระบายอากาศให้กับรถฟอร์คลิฟท์เพิ่มเติมด้วย หากจำเป็นต้องเก็บแบตเตอรี่ไว้ ควรเก็บไว้ในพื้นที่ที่สะอาด แห้ง และเย็น เพื่อเป็นการยืดอายุของแบตเตอรี่