EP.1 ถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่รถฟอร์คลิฟท์แล้วหรือยัง!? : เจนบรรเจิด (Jenbunjerd) ผู้นำด้านการผลิต จัดจำหน่าย และส่งออกอุปกรณ์จัดเก็บยกย้ายที่มีความหลากหลาย

Contact Info

  • 359 Bondstreet Rd.(Chaengwattana 33), Bangpood, Pakkred, Nonthaburi 11120 Thailand
  • info@jenbunjerd.com
  • 02-096-9898 (200 คู่สาย)
EP.1 ถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่รถฟอร์คลิฟท์แล้วหรือยัง!?

EP.1 ถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่รถฟอร์คลิฟท์แล้วหรือยัง!?

เพื่อให้การทำงานภายในคลังสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่นและเต็มประสิทธิภาพที่สุด จำเป็นต้องมีรถฟอร์คลิฟท์ที่มีจำนวนเพียงพอและพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันคลังสินค้าหลายที่เลือกใช้รถฟอร์คลิฟท์ไฟฟ้าเป็นหลัก เพราะสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องมลภาวะเหมือนกับรถเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้รถฟอร์คลิฟท์ไฟฟ้าสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ หัวใจสำคัญอย่างแบตเตอรี่ก็ต้องอยู่ในสภาพที่ดีด้วยเช่นกัน

แบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ นอกจากจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของรถลดลงแล้ว ยังมีความเสี่ยงที่จะสร้างความเสียหายกับระบบไฟฟ้าขอจากกระแสไฟฟ้าที่ไม่เสถียรได้อีกด้วย การดูแลและบำรุงรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ

อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่ก็มีอายุการใช้งานที่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นก้อนใหม่ เนื่องจากอายุของแบตเตอรี่ถูกกำหนดด้วยจำนวนการชาร์จ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 รอบการชาร์จ หรือหากเกิดความเสียหายกับตัวแบตเตอรี่เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุหรือขาดการดูแลเป็นระยะเวลานาน ก็ควรรีบเปลี่ยนทันที เพื่อป้องกันโอกาสที่อาจทำให้รถเสียหาย หรือเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน 

 

นี่คือ 5 สัญญาณเตือนว่าถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่ก้อนใหม่ให้กับรถฟอร์คลิฟท์ของคุณแล้ว

 

 

  1. มีขี้เกลือขึ้นบนตัวแบตเตอรี่มากผิดปกติ

    แบตเตอรี่ของรถฟอร์คลิฟท์ในท้องตลาดส่วนใหญ่ ใช้แบตเตอรี่ประเภทตะกั่ว-กรด (Lead-acid) ซึ่งมีตัวทำปฏิกิริยาซึ่งใช้ทั้งน้ำกลั่นและน้ำกรดภายในตัวของแบตเตอรี่ เมื่อมีการใช้งานไปเรื่อยๆ น้ำก็จะระเหยออกมา เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากการทำปฏิกิริยา ซึ่งหากปล่อยให้น้ำระเหยจนหมด แบตเตอรี่จะเสียสมดุล ทำให้น้ำกรดกร่อนแผ่นธาตุและก่อให้เกิดขึ้เกลือขึ้นบนตัวแบตเตอรี่ โดยปกติแล้วแบตเตอรี่มีโอกาสเกิดขึ้เกลือขึ้นได้ แต่การนำแบตเตอรี่ไปชาร์จให้เต็ม เติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับที่เหมาะสม และทำความสะอาดให้เรียบร้อยก็สามารถนำกลับไปใช้งานได้ แต่หากเกิดขี้เกลือขึ้นมากจนกระทั่งไม่สามารถชาร์จไฟเข้าหรือทำความสะอาดได้ นั่นแปลว่าแผ่นธาตุนั้นเสื่อมสภาพแล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นก้อนใหม่


     
  2. ระดับไฟลดลงเร็วผิดปกติ แม้ว่าจะชาร์จไฟจนเต็มแล้ว

    อีกสัญญาณสำคัญว่าถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ คือไม่สามารถใช้งานรถฟอร์คลิฟท์ได้นานเหมือนที่เคย หรือระดับไฟของรถลดลงเร็วผิดปกติแม้ว่ามีการชาร์จจนเต็มแล้ว โดยปกติแล้วควรมีการบันทึกเวลาที่ใช้งานรถและระดับไฟที่เหลืออยู่เมื่อต้องทำการชาร์จไฟในรอบถัดไป เพื่อให้แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน ควรนำแบตเตอรี่ไปชาร์จเมื่อระดับไฟลดลงจนเหลือประมาณ 20-30% และชาร์จให้เต็มก่อนนำไปใช้งาน ไม่ควรใช้งานจนไฟหมด เพราะอาจทำให้เซลล์แบตเตอรี่ไม่สามารถชาร์จไฟได้อีก และไม่ควรนำแบตเตอรี่ที่ยังมีไฟเหลืออยู่ไปชาร์จ เพราะแบตเตอรี่นับรอบการชาร์จเป็นครั้ง การถอด-เสียบชาร์จถี่ๆ จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว


     
  3. ประสิทธิภาพของรถฟอร์คลิฟท์ลดลงผิดปกติ หน้าจอมืดหรืออุปกรณ์บางอย่างไม่ทำงาน

    หากนำแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟเต็มแล้วมาใช้งานกับรถฟอร์คลิฟท์ แต่กลับพบว่าหน้าจอของรถมืด กระพริบ หรือมีการทำงานที่ผิดปกติไป เช่น ออกตัวเร่งได้ช้า เกิดการกระตุก หรืออุปกรณ์ของตัวรถไม่ทำงาน ควรทำการตรวจสอบขั้วปลั๊กและสายไฟว่าเสียบหรือต่อแน่นหรือไม่ หรืออาจมีวัสดุหรือสิ่งสกปรกภายในตัวปลั๊กทำให้ไม่สามารถจ่ายไฟได้เต็มที่ หากตรวจสอบ ทำความสะอาดและเสียบใหม่แล้วยังมีปัญหาอยู่ มีโอกาสสูงที่แบตเตอรี่อาจมีปัญหา


     
  4. ร่องรอยความเสียหายจากคราบกรดบริเวณตัวถังของแบตเตอรี่

    หากพบว่าตัวรถหรือตัวถังของแบตเตอรี่มีเศษเหล็กหรือสนิมขึ้นมากผิดปกติ แปลว่ามีน้ำกรดรั่วออกมาจากตัวแบตเตอรี่ ควรรีบหยุดใช้งานทันทีและแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบเพื่อนำออกไปกำจัดโดยด่วน โอกาสที่น้ำกรดรั่วจากแบตเตอรี่นั้นมีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเติมน้ำกลั่นมากเกินไปจนล้นออกมา ซีลรอบๆเซลล์หรือตัวถังของแบตเตอรี่เกิดเสื่อมสภาพ น้ำกรดจากแบตเตอรี่มีความเป็นกรดสูง ก่อให้เกิดการระคายเคืองและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน หากจำเป็นต้องเข้าใกล้แบตเตอรี่ที่มีกรดรั่ว ผู้ใช้งานควรใส่อุปกรณ์ป้องกันไม่ว่าจะเป็นหน้ากากกันแก๊ส แว่นนิรภัย ถุงมือนิรภัย และชุดคลุมเพื่อป้องกันอันตรายจากน้ำกรด และรีบแจ้งผู้ผลิตหรือหน่วยกำจัดขยะอันตรายเพื่อการกำจัดแบตเตอรี่อย่างถูกต้อง ไม่แนะนำให้ผู้ใช้งานดำเนินการด้วยตัวเองอย่างเด็ดขาด


     
  5. ขั้วแบตเตอรี่เสียหายหรือเสื่อมสภาพ

    ถึงแม้ว่ารถฟอร์คลิฟท์ไฟฟ้าจะมีความทนทานและสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน แต่การใช้งานผิดวิธีหรือการใช้งานอย่างหนักต่อเนื่องก็อาจทำให้อุปกรณ์บางอย่างเสียหายได้ แบตเตอรี่ของรถก็เช่นกัน หากปล่อยปละละเลย ไม่ได้มีการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง หรือมีการเฉี่ยวชนขึ้นก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ ขั้วแบตเตอรี่ที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพจากการใช้งานทำให้ไม่สามารถจ่ายไฟได้อย่างเต็มที่ ทำให้ประสิทธิภาพของรถฟอร์คลิฟท์ลดลง และใช้เวลาในการชาร์จไฟนานมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หากขั้วแบตเตอรี่เสียหาย ควรแจ้งให้ผู้ผลิตทราบเพื่อซ่อมบำรุง


     

5 ข้อที่กล่าวมาเป็นเพียงสัญญาณหลักๆที่สามารถสังเกตเห็นได้โดยง่าย แต่หากมีปัญหาอื่นๆ ไม่ว่าเป็นตัวรถหรือแบตเตอรี่ ควรติดต่อศูนย์บริการของผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะเป็นอันตรายหรือเกิดความเสียหายใหญ่ที่ส่งผลต่อการทำงานและค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นโดยไม่จำเป็น