จับตาไม่ให้กระพริบกับ 9 เทรนด์หลักใหม่ของโลก หลังไวรัสโคโรน่า : เจนบรรเจิด (Jenbunjerd) ผู้นำด้านการผลิต จัดจำหน่าย และส่งออกอุปกรณ์จัดเก็บยกย้ายที่มีความหลากหลาย

Contact Info

  • 359 Bondstreet Rd.(Chaengwattana 33), Bangpood, Pakkred, Nonthaburi 11120 Thailand
  • info@jenbunjerd.com
  • 02-096-9898 (200 คู่สาย)
<p>ทำความรู้จัก 9 เทรนด์หลักที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกหลังไวรัสโคโรน่า</p>

ทำความรู้จัก 9 เทรนด์หลักที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกหลังไวรัสโคโรน่า

จับตาไม่ให้กระพริบกับ 9 เทรนด์หลักใหม่ของโลก หลังไวรัสโคโรน่า
แรงสั่นสะเทือนจากไวรัสโคโรน่าได้กดดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ และเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงานอย่างสิ้นเชิง 
ข้อดีของเหตุการณ์ครั้งนี้คือย้ำเตือนให้ทุกองค์กรจะต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้นหลังจากวิกฤตครั้งนี้ผ่านไป 
นี่คือ 9 เทรนด์ที่จะเกิดขึ้น และเชื่อว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกไปอย่างมากหลังไวรัสโคโรน่า

1. การมีปฏิสัมพันธ์และเชื่อมต่อแบบไร้การสัมผัส 
COVID-19 ได้ทำให้ทุกคนเกิดความสะพรึงกลัวที่จะแตะต้องพื้นผิวทุกอย่างเพราะเสี่ยงต่อการติดโรค ดังนั้นโลกหลัง COVID-19 อุปกรณ์ต่างๆจะมีลักษณะการสัมผัสน้อยลงมาก โดยจะเปลี่ยนเป็นระบบสั่งการด้วยเสียง และการจดจำหน้าตาท่าทางมากขึ้น ทุกคนต้องการหลีกเลี่ยงการสัมผัสจับต้องสิ่งของให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การชำระค่าสินค้าโดยไม่ต้องมีการยื่นส่งสิ่งของ จะเข้ามาแทนที่ หรืออย่างล่าสุดลิฟท์ในจีนก็ใช้ระบบสั่งการด้วยเสียงเพื่อลดการสัมผัส 

 

 

ส่วนระบบการจดจำหน้าตาท่าทางที่ทุกวันนี้ถูกนำมาใช้กับ Social Media Filter (ลูกเล่นในโปรแกรมทั้งหลายเช่น Instagram หรือ Tiktok ที่ใส่หนวดแมวกับรูปหน้าของผู้เล่น หรือ App ปรับเปลี่ยนใบหน้า สีหน้า หรือแม้กระทั่งวัย ฯลฯ) และใช้ในการเช็คเอาท์จากร้านค้า (เช่นร้าน Unmanned Stores อย่างของอาลีบาบาทีไม่ใช้พนักงานเลย) ก็คาดว่าจะถูกนำมาปรับใช้อย่างกว้างขวางในหลายอุตสาหกรรม

2. สังคมดิจิตอลเต็มรูปแบบ
COVID-19 ทำให้ผู้คนต้องปรับตัวทำงานอยู่ที่บ้านอย่างโดดเดี่ยว แต่เทคโนโลยีด้านดิจิตอลได้ถูกนำมาช่วยแก้ปัญหาทำให้ทุกคนสามารถประชุม อบรม ออกกำลังกาย และอื่นๆอีกมากมายภายในที่พักอาศัย และจะกลายเป็นมาตรฐานวิถีชีวิตแบบใหม่ เป็นความเคยชินแบบใหม่ เช่น การประชุมออนไลน์ก็สามารถทำได้ และแทนที่การเดินทางต้องไปประชุม 

นอกจากนี้การนำดิจิตอลมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การทำธุรกรรม และการทำงานจะมีมากขึ้น ตั้งแต่การชำระเงิน การเซ็นสัญญาทางออนไลน์หรือ e-signing อย่างกิจกรรมที่ไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างการประชุมสภา การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย และการขึ้นศาลทางออนไลน์ก็มีขึ้นในหลายประเทศแล้ว

 

 

3. โลกของ IoT (Internet of Things) และ Big Data 
ในสภาวะการเกิดโรคระบาด เราได้เห็นถึงพลังอินเตอร์เน็ทและข้อมูลแบบ real-time แล้ว ในอนาคต Apps ที่ติดตามเรื่องราวเหล่านี้ไม่ว่าจะระดับประเทศหรือระดับโลกจะสามารถช่วยเตือนทุกคนให้ทราบถึงโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพราะสามารถรายงานและติดตามคนที่มีอาการของโรคระบาดได้ตั้งแต่ระยะเบื้องต้น ส่วน GPS ก็สามารถนำมาใช้ติดตามว่ากลุ่มเสี่ยงได้ไปที่ใดมาบ้างและพบกับใครบ้าง

 

 

4. การพัฒนายาด้วย AI
ยิ่งเราสามารถคิดค้นวัคซีนป้องกันและยาที่สามารถรักษาโรค COVID-19 และโรคอื่นๆที่อาจเกิดในอนาคตที่ปลอดภัยได้เร็วเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจำกัดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น 

AI จะกลายเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาคิดค้นยาสูตรใหม่ๆ เพราะปัญญาประดิษฐ์สามารถสอนตัวเองให้ออกแบบโมเลกุลยาใหม่ๆขึ้นมาได้ ซึ่งจะช่วยเร่งความเร็วในการคิดค้นสูตรยาใหม่ๆและสกัดการระบาดของโรคได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

5. การสื่อสารแบบ Telemedicine
Telemedicine คือการนําเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถพูดคุยตอบโต้กันได้แบบ Real-time ลดความเสี่ยงของผู้ป่วยในการรับเชื้อหรือแพร่เชื้อ และเพิ่มความสะดวกสบายรวดเร็วในการบำบัดรักษา การรักษาด้วยวิธีนี้มีมาก่อน COVID-19 แล้ว แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น

6. ธุรกิจออนไลน์และโลจิสติกส์จะเติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก
จากวิกฤตครั้งนี้ ธุรกิจที่ไม่มีช่องทางออนไลน์จะประสบปัญหาอย่างหนัก แต่กลับกลายเป็นโอกาสให้ธุรกิจที่มีช่องทางออนไลน์อยู่แล้วเติบโตมหาศาล นอกจากนี้โรคระบาดครั้งนี้ยังทำให้ผู้คนมีความกังวลใจในการไปร้านอาหาร ซึ่งจากทั้งสองปัจจัยนี้จะทำให้ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์เติบโตอย่างมหาศาล 

 

 

7. ห่วงโซ่อุปทานมีความเป็นท้องถิ่นมากขึ้นและมีการกระจายตัวมากขึ้น
จากกรณีสินค้าจำเป็นขาดแคลนอย่างหนักในช่วงโรคระบาด หรือการขาดแคลนบางชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศจีนจนทำให้ต้องปิดโรงงานกันไปเลยทีเดียว ทำให้หลายฝ่ายเห็นความสำคัญของการมีการผลิตของตัวเอง การสรรหาสินค้าจากพื้นที่ที่ใกล้กันมากขึ้น และการกระจายความเสี่ยงด้วยการมีแหล่งสรรหาสินค้าในหลายพื้นที่ ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ที่ประเทศจีนแห่งเดียว เชื่อว่าหลังจากเหตุการณ์โรคระบาดผ่านพ้นไป การผลิตและซัพพลายเชนภายในประเทศในบางอุตสาหกรรมจะกลับมามีความสำคัญเพื่อถ่วงดุล ลดความเสี่ยงจากการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มปัจจัยสำคัญอย่างยารักษาโรค อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น

8. คนจะหันไปพึ่งพาหุ่นยนต์มากขึ้น
จากเหตุการณ์โรคระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการหรือสถานพยาบาล ที่หากมีบุคลากรได้รับเชื้อและล้มป่วย จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ถึงขั้นต้องปิดทำการเป็นการชั่วคราว ดังนั้นแนวโน้มการนำหุ่นยนต์มาปฏิบัติงานต่างๆในโรงงานอุตสาหกรรม คลังสินค้า การส่งสินค้า ช่วยงานพยาบาล ฯลฯ จะเพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถช่วยลดการเสี่ยงของการติดโรค 

 

 

9. อีเว้นท์แบบดิจิตอลจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
ผู้จัดและผู้ร่วมงานจะหันไปพึ่งพาช่องทางดิจิตอลแทน ซึ่งหลายงานอีเว้นท์ดิจิตอลใหญ่ๆในโลกเคยพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถดึงจำนวนผู้มาร่วมงานทั่วโลกได้มากกว่าการจัดงานที่ผู้ร่วมต้องเดินทางไปเข้าร่วมจริงๆเสียอีก

งานอีเว้นท์จริงๆ ยังคงมีอยู่แต่เชื่อว่างานแบบดิจิตอลจะเข้ามาเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญของการจัดงานอีเว้นท์ กลายเป็นงานลูกผสมที่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน รวมถึง Esports ด้วย ที่จะได้รับความนิยมมากขึ้น งานแข่งขันกีฬาและแฟนกีฬาต่างต้องรับกับความจริงให้ได้ว่าจากวิกฤตโรคระบาด การแข่งขันทั้งหมดต้องถูกระงับหรือเลื่อนออกไป แต่ในด้านของ esports กำลังเติบโตดีมาก อย่างการแข่งรถ F1 แบบดิจิตอลอาจจะไม่เหมือนกับการแข่งจริงแบบดั้งเดิมแต่ก็เป็นก็ถือเป็นอีกช่องทางที่มาช่วยชดเชยให้กับแฟนๆกีฬาได้

แปลและเรียบเรียงจาก

https://www.forbes.com/sites/bernardmarr/2020/04/03/9-future-predictions-for-a-post-coronavirus-world/#64563ff95410

โดยทีมงานสื่อสารการตลาด บริษัท เจนบรรเจิด จำกัด

 

 

*สื่อโฆษณา/ชิ้นงาน ข้อความในบทความนี้ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ บริษัท เจนบรรเจิด จำกัด ผู้ใดละเมิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

The commercial, including articles and artworks shown is an intellectual property of Jenbunjerd Co.,Ltd.
Unauthorized reproduction is prohibited and may subject to criminal prosecution.